สวัสดีครับ ประเดิมโพสต์แรกของผมด้วย Review The new iPad ซึ่งผมก็ได้มันมาใช้งานสักพักแล้วล่ะครับ แต่ที่ยังไม่ Review เพราะว่าขอใช้ให้สะใจก่อนค่อยรีวิวก็ไม่สาย ซึ่ง The new iPad ก็คือ iPad รุ่นที่ 3 (3rd Generation iPad) นั่นเองครับ

ผมสั่งของวันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2555 วันที่ The new iPad วางขายในไทยอย่างเป็นทางการ ผ่าน Apple Online Store ซึ่งของก็มาส่งช่วงเที่ยงกว่า ๆ ของวันที่จันทร์ที่ 31 (เพราะติดเสาร์อาทิตย์)
ว่าแล้ว ก็มาแกะกล่องกันเลย

กล่องเหมือน iPad 2 เป๊ะ ๆ จะต่างกันตรงที่หน้าจอจากเป็นรูปหยดน้ำเกาะกระจกกลายเป็นรูปน้ำทะเล และมีโลโก้ iCloud แปะอยู่ (iPad 2 ล็อตหลังก็น่าจะมีโลโก้ iCloud แปะอยู่เช่นกัน) ดังนั้น ก่อนซื้อดูกล่องให้ดี ๆ ล่ะ
เปิดมากลิ่น Apple ก็ฟุ้งทันที (ใครเคยเปิดกล่องสินค้า Apple จะรู้ว่ากลิ่น Apple เป็นอย่างไร)

ดูใต้กล่องกัน ข้าวของหยุมหยิมพอใช้

พอเปิดเครื่องมา ก็พร้อม Activate โดยไม่ต้องใช้ PC หรือ PC-Free นั่นล่ะ ขั้นตอนการ Activate ไม่ยากครับ แป๊บเดียวก็เสร็จ (ถ้าไม่ได้ไปดึงข้อมูล Backup จาก iCloud นะ) หลังจากนั้นก็เปิดใช้เครื่อง มีแอพมาให้เหมือนเดิมเป๊ะ ทีนี้ผมจะเน้น Feature ใหม่ ๆ ละกัน

Retina Display

ภาพหน้าจอนั้น คมจริง ๆ ครับ ขนาด 2048 x 1536 (ขอโทษทีที่ไม่ได้เอาภาพ iPad 2 มาเทียบกัน) iPad 2 มีความละเอียดแค่ 1024 x 768 คือความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว แต่ถ้าพูดถึงความรู้สึก ก็คงบอกได้แค่ว่า อารมณ์เหมือน iPhone 3GS -> iPhone 4 อย่างนั้นล่ะ คือถ้ามองจอ The new iPad แล้ว แทบไม่อยากกลับไปมองจอ iPad 2 เลย อย่างไรก็ดี หน้าจอนี้ยังไม่ใช่ Retina Display จริง ๆ ตามนิยาม Retina Display ที่ Jobs บอกไว้ตอนเปิดตัว iPhone 4 ซึ่งมีความละเอียด 320 ppi คือ ละเอียดกว่าที่ตามนุษย์มองเห็นได้ที่ 300 ppi แต่ The new iPad มีความละเอียด 264 ppi แต่ใครเขาจะเอา Tablet มาใกล้ตาขนาดน้านนนนน
ดังนั้น ความละเอียดขนาดนี้สำหรับ Tablet จึงนับว่าเป็น Retina Display ได้

แต่สิ่งที่ชอบมากกว่าคือ ถ้าเป็น iPad/iPad 2 ถ้านำแอพ iPhone มาใส่ จะเห็นภาพแตกมาก ๆ ถ้าใช้โหมด 2x จนหลายคนรับไม่ได้ แต่สำหรับ The new iPad สามารถขยาย 2x แล้วก็จะเห็นภาพแตกในระดับ iPhone 3G, 3GS เท่านั้น เป็นเรื่องที่น่าดีใจมากสำหรับแอพที่มีเฉพาะบน iPhone อย่าง Instagram ก็เล่นบน iPad ได้อย่างไร้ปัญหา

แต่ดูหนัง Full HD ภาพกลับแตกซะงั้น เพราะหน้าจอมันละเอียดเกิ๊นนนนนนนนนนนน

A5X กราฟิกเทพ

สำหรับกราฟิก A5X นั้น นับว่าเทพจริง ๆ เพราะว่าสามารถใส่กับ Retina Display ได้ ถ้าเล่นกับเกมกราฟิกแรง ๆ และทำมารองรับกับ The new iPad แล้วล่ะก็ แจ่มแมว เช่นพวก Infinity Blade, Asphalt 6, Asphalt 7 เกมอื่นนึกไม่ออกแหะ แต่บังเอิญเกมที่ผมเล่นก็มีแต่ Where’s My Water, Jetpack เลยไม่ค่อยได้ลองมาก ลองไปหาวีดีโอที่เปรียบเทียบใน YouTube ดูแล้วกัน

iSight Camera

มันก็คือ Sensor กล้องของ iPhone 4 + Optics ของ iPhone 4S นั่นทำให้สามารถถ่ายภาพความละเอียด 5 ล้านพิกเซลได้ แต่สีของภาพจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ขอไม่นำภาพมาเปรียบเทียบนะครับ (เพราะคุณก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าภาพที่ได้ออกมาจาก iPad 2 นั้นมันแย่แค่ไหน)

ในด้านการถ่ายวีดีโอ สามารถถ่ายได้สูงสุดที่ 1080p เชียวล่ะ รับรองวีดีโอที่ออกมาต้องแจ่มแมว แต่ผมก็ยังไม่ได้ลองครับ

Voice Dictation

เธอก็คือ Siri ใบ้นั่นล่ะครับ ดังนั้นผมจึงไม่หวังเล้ยยยยย กับเจ้านี่ เพราะอย่างที่รู้กันว่า Siri นั้นเรื่องมากในการฟังสักแค่ไหน ก็คงต้องรอให้ Apple ทำให้มันดีกว่านี้นะ ปัจจุบันนี้แบบ…

แอพที่ใช้
1.Twitter
2.Facebook
3.Flipboard

ตัวนี้นับว่าเยี่ยมมาก เพราะว่าสามารถดู Social Network หรือการอัพเดทข่าวสารของเรา
ได้เหมือนกับการดูนิตยสารจริง ๆ ซึ่งผมนับว่ามันเยี่ยมมาก
4.IM+ ไว้ออนเอ็ม
5.Skype
6.iBooks
7.Adobe Reader
8.iPhoto
9.iMovie
10.GarageBand
11.Pages
12.SketchBook Express
13.Rage Maker ไว้ทำ GAG ตอนว่างจัด
ฯลฯ

ทีนี้มาถึงปัญหาของมันบ้าง

ร้อน?

นับว่าเป็นจุดด้อยหลัก ๆ เลยทีเดียวสำหรับคนที่ต้องถือไปเล่นไป ถ้าเล่นเว็บธรรมดาไม่เท่าไรหรอก แต่มีปัญหาแน่สำหรับผู้ที่ดูวีดีโอ YouTube บ่อย ๆ หรือเล่นเกมกราฟิกจัด ๆ พวกนี้ ถ้าเล่นไปสักพัก จะร้อนมากครับ แต่สำหรับผมไม่เป็นปัญหาเท่าไร เพราะส่วนใหญ่มักจะวางบนโต๊ะ ซึ่งความร้อนจะเกิดขึ้นตรงฝั่งซ้าย หรือแม้กระทั่ง Retina Display ที่ใช้ไฟเยอะพอสมควร จึงทำให้เกิดความร้อนได้ง่าย

ควรใส่เคสไหม?
ณ จุดนี้ผมตอบตรง ๆ ว่า อย่าได้ใส่เคสทีเดียวเชียว เพราะถึงแม้จะกันความร้อนไม่ให้มาถึงมือได้ก็จริง แต่ไม่สามารถระบายความร้อนได้ดี จึงเกิดความร้อนสะสมได้มาก อาจทำให้แบตเสื่อมเร็ว ดังนั้น หากระเป๋าใส่น่าจะดีกว่า แต่ถ้ายังอยากใส่เคสอยู่จริง ๆ ผมคงแนะนำว่า ควรถอดออกเมื่อจะเล่นหนัก ๆ ให้วางบนโต๊ะโดยหาอะไรรองให้สูงจากพื้นหน่อยจะดีกว่า

แต่ถ้าเทียบกับ Tablet เจ้าอื่น ก็ยังนับว่าเย็นอยู่ดีครับ

หนัก?

หนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับถ้าเทียบกับ iPad 2 เพราะด้วยแบตที่มีขนาดหมื่นกว่า mAh (มากกว่า iPad 2 ตั้ง 68%) Retina Display นี่ล่ะตัวหลักเลย ที่กินไฟสูงมาก ๆ ไหนจะกราฟิกเทพ A5X อีก ซึ่งผมว่าไม่เป็นอุปสรรคมากนักเมื่อถือสองมือ แต่ถ้าถือมือเดียวนี่หนักแน่ ๆ

แน่นอน แบตก้อนมหึมา ชาร์จก่อนนอนไปเลยครับ

สรุป
จุดเด่น
– สวย ดูดี เสน่ที่หน้าจอ
– กราฟิกเทพมาก ถ้าซื้อมาเล่นเกมท่าจะเหมาะ
– กล้องดีกว่าเดิมมาก (มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) ถ่ายชัดขึ้นเยอะ ถ่ายวีดีโอ 1080p ได้
จุดด้อย
– ร้อน
– หนักขึ้นกว่า iPad 2

ควรซื้อไหม?
ถ้าคุณเป็นคนที่มี iPad 2 อยู่แล้ว และยังตอบสนองการใช้งานทั่ว ๆ ไปได้ ก็ใช้ต่อไปเถอะครับ ถึงแม้ส่วน GPU จะแรงขึ้นมากก็จริง แต่ถ้าไม่ได้สนใจส่วนนี้ ก็กำเงินรอ iPad รุ่นต่อไป แต่ถ้าพวกไม่ธรรมดา อยากเล่นเกมบน Tablet หรือพวกชอบลองของใหม่ ๆ ก็ตามแต่ศรัทธาครับ

ส่วนผู้ที่มี iPad รุ่นแรก หรือยังไม่มี Tablet ใช้เลย The new iPad เป็นหนี่งตัวเลือกที่น่าสนมาก

รุ่นไหนดี iPad 2 or The new iPad?
สำหรับคนที่ไม่สนใจอะไรมาก ขอเพียงมี iPad ใช้ก็พอใจแล้ว iPad 2 ล็อตใหม่ที่ CPU A5 ผลิตในสถาปัตยกรรมใหม่ ลดการกินไฟลง ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนครับ แต่อย่าได้เผลอไปเมียงมอง The new iPad เชียวล่ะ เดี๋ยวจะได้มันกลับมาแทน อิอิ

จะซื้อ The new iPad รุ่นไหนดี?
แนะนำที่ 32 GB ขึ้นไป เพราะด้วย Retina Display ขนาดแอพต่าง ๆ จะใหญ่ขึ้น ถ้าเป็น 64 GB จะเหมาะกับพวกใช้เก็บข้อมูลเยอะ ๆ หรือถ่ายวีดีโอเยอะ ๆ เก็บหนังเยอะ ๆ จะได้ไม่หงุดหงิดที่จะต้องจัดการพื้นที่

Wi-Fi or 4G
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับ ผมยังเห็นหลายคนเข้าใจผิดว่า iPad 4G เล่น 3G ไม่ได้ ยังเล่นได้อยู่ เหมือนเดิมครับ เพียงแต่สามารถใช้งาน 4G ได้ก็แค่นั้น (และ 4G ก็ใช้ได้แค่อเมริกาและแคนาดา) สำหรับผมใช้รุ่น Wi-Fi เพราะว่าสภาพแวดล้อมส่วนใหญ่ผมจะมี Wi-Fi ใช้ หรือถ้าคนที่มี Smartphone ซื้อรุ่น Wi-Fi ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะว่าสามารถแชร์เน็ตให้ iPad ได้ แต่คนที่ไม่มี Snartphone และต้องใช้ในที่ที่ไม่มี Wi-Fi บ่อย ๆ รุ่น 4G ก็น่าสนครับ

ขอให้เลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานนะครับ เพราะเดี๋ยวจะมาเสียดายเอาทีหลัง เดี๋ยวหาว่าไม่เตือน :’)