Blog นี้จะวิจารณ์ในฐานะสาวก Apple นะครับ และมันยาวมาก
เริ่มต้นจากการด่าทีมถ่ายทอดสดก่อนเลยครับ ห่วยสัส -*- พูดตรงๆ เลยว่าตอนดูช่วง iPhone ผมดูไม่รู้เรื่องเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย และอยากให้ Ive ดีไซน์ไอหน้าแท่งสีรุ้งซะใหม่นะ
เริ่มมาที่ iPhone 6 โดยส่วนตัวคิดว่าปัญหาของ iPhone 6 คือของมันหลุดเยอะจนเกินไป หลุดมาจนเป็นชิ้นส่วนต่อกันเป็นตัวเครื่องเลย และฟีเจอร์ทุกอย่างหลุดออกมาซะเกลี้ยง เปิดตัวออกมาก็เลยไม่เหลืออะไรให้ลุ้นกันอีกต่อไปแล้ว
เรื่องดีไซน์ iPhone 6 ผมคิดว่าตัวเครื่องก็สวยดี เอาเป็นว่าใครจะว่าอะไรผมไม่สน นี่คงเป็นเรื่องปัจเจกบุคคลแล้ว
เรื่องกล้อง ผมคิดว่าจุดเด่นของการเปลี่ยนกล้องคือ Apple จะยังใช้ 8MP เหมือนเดิม (แหงล่ะ ก็เล่นแพงซะขนาดนั้น รอให้ 64GB ขายในราคา 16GB ก่อนค่อยเพิ่มความละเอียดก็ได้) แถมปัจจุบันการใช้กล้องมือถือก็เพื่อโพสต์ลง Social Network ซะส่วนใหญ่ ซึ่งก็จะบีบความละเอียดอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ความละเอียดสูง
การจะเลือกทำมือถือความละเอียดสูง โดยส่วนตัวผมเห็นว่าควรจะทำให้ความละเอียดสูงโคตรๆ แบบ Nokia Lumia 1020 เลยจะเป็นเรื่องดีที่สุด แต่นั่นก็ต้องแลกมากับการเซฟไฟล์ที่ช้าบรม
ไม้ตายของ Apple คือการทำให้ iPhone มีคุณสมบัติเป็น DSLR ขณะที่เจ้าอื่นมักจะทำตัวเป็น Compact เพราะโดยปกติคนใช้ DSLR มักจะเลิกสนความละเอียดแล้ว (เว้นเสียแต่ผู้ใช้งานเฉพาะทางที่จำเป็นต้องใช้ความละเอียดสูงมากๆ ก็ยังจำเป็นอยู่) แต่ Apple ก็เพิ่มความเร็วในการโฟกัสของกล้อง iPhone โดยใช้เทคโนโลยี Focus Pixel โดยหากใครนึกไม่ออกว่าเป็นไง ก็ให้ไปดูวิดีโอของ Canon EOS 70D ที่ใช้ Dual Pixel CMOS AF ถึงจะไม่เหมือนกันซะทีเดียวแต่แนวคิดก็คล้ายกัน ซึ่งเป็นแนวคิดเหมือน Phase Detection ที่ใช้ในการโฟกัสตอนมองผ่าน View Finder ของ DSLR
Apple Pay นั้นถือเป็นการทำงานที่วางแผนมาดีมากของ Apple คือจะทำเมื่อพร้อมจริงๆ โดย Apple ไปเจรจากับผู้ให้บริการบัตรเครดิต VISA, MasterCard, American Express, ธนาคาร, ร้านค้า ตั้งแต่ McDonald’s, Starbucks, Subway ฯลฯ รวมถึงบัตรเครดิตที่อยู่ในบัญชีของ iTunes Store ที่ Apple มีเป็นหลายร้อยล้านใบเลยทีเดียว และถ้าในอนาคตเจรจาเพิ่มขึ้นอีกก็จะเท่ากับว่าแพลตฟอร์มของ Apple จะแข็งแกร่งมาก โดยการที่ Apple จะเจรจาธนาคารแถมให้ธนาคารจ่ายค่าธรรมเนียมให้ Apple อีก ซึ่งทุกคนต่างก็รู้ดีว่าปกติแล้วการทำอะไรกับธนาคารเราต่างจะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ธนาคารทั้งสิ้น นี่แสดงถึงความแข็งแกร่งมากของแบรนด์ Apple
ถ้าถามว่า Apple ทำเมื่อพร้อมจริงๆ เพราะอะไร ลองดู Mobile Payment ในปัจจุบันสิครับ มือถือมี NFC กันมากี่ปี กี่รุ่น แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร
ระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple Pay ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก Apple จะทำอะไรต้องยึดความปลอดภัยก่อนเสมอ ซึ่งการรักษาความปลอดภัยของ Apple Pay คือ Apple จะไม่รู้ว่าเราจ่ายเงินซื้ออะไป และบัตรเครดิตทั้งหลายจะสแกนและถูกเก็บไว้บนเครื่อง iPhone เท่านั้น ไม่ถูกส่งออกไปผ่านทางอินเทอร์เน็ต รวมถึงตอนจ่ายเงินผ่านตัว iPhone จะต้องแตะ Touch ID ส่วน Apple Watch ก็จะถามรหัส PIN เมื่อเราถอดและใส่นาฬิกาด้วย
Apple Watch เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเกิดอาการ WoW ได้มากที่สุดแล้วในงานนี้ และทำให้เกิดปรากฏการณ์ยืนปรบมือที่นานมากกกกกกกกกกกกกก ซึ่งเราไม่เคยเห็นสิ่งนี้มานานแล้ว และ Tim Cook ที่พูด “One More Thing” ให้ทุกคนร้องเฮ เนื่องจาก Apple Watch เป็นสินค้าใหม่หมด ทีมวิจัยคงจะเล็ก จึงไม่มีใครนำภาพตัวจริงของ Apple Watch ออกมาได้ การเปิดตัวจึงน่าตื่นเต้นมาก เรื่องราวต่างๆ จึงมักออกมาในรูปแบบภาพเรนเดอร์ หรือคำพูด ซึ่งหลายครั้งก็ตีกันเองเสียอีก
ความรู้สึกของตัวผมเองในการเห็น Apple Watch ครั้งแรก คือมันซี๊ดมากกกกกกกกกก เห็นแล้วบาดใจ ทั้งที่ไม่รู้ราคาแต่ใจมันบอกไปว่า “ซื้อ” ซึ่งสาวกทุกคนที่นั่งดู Keynote แบบสดก็น่าจะมีอารมณ์ไม่ต่างกันนัก
ฉะนั้นการมีภาพหลุดจนถึงขนาดต่อเป็นเครื่องเหมือน iPhone ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ทำให้การเปิดตัวไม่มีอะไรที่ทำให้เราร้อง WoW ได้เลย แต่ Apple คงยอมแลกเพื่อ Supply Chain ที่สามารถผลิต iPhone ได้เร็วและวางขายได้ทันเวลา
ในความเป็น Apple ที่ทำสินค้าอะไรออกมาสักชิ้นหลังชาวบ้าน มันต้องมีอะไรดีแบบที่คนอื่นไม่มี ซึ่ง Apple ก็เอาเม็ดมะยมของนาฬิกาทั่วๆ ไปนี่แหละมาปรับปรุงให้มันเป็น Digital Crown หรือเม็ดมะยมที่เราใช้กันแทนการซูมเข้าออกโดยใช้นิ้ว ทำให้ Apple ต้องขยายขนาดเพราะจะได้ใช้งานง่าย คงไม่มีใครอยากเอานิ้วจีบเข้าจีบออกบนนาฬิกาหรอก น่าแปลกที่ไม่มีใครคิดออกมาได้
การไม่ใช้ชื่อ iWatch เพราะว่า Apple คงขี้เกียจไปเจรจากับเจ้าใหญ่แห่งนาฬิกาจากสวิสอย่าง Swatch ที่ถือครองชื่อนี้อยู่ ซึ่งดูท่าจะไม่ง่ายแน่ ทำให้ต้องเลี่ยงชื่อออกมาเป็น Apple Watch ซึ่งกรณีนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ iTV ที่ดันไปชื่อซ้ำกับสถานีโทรทัศน์ของอังกฤษ เลยออกมาเป็น Apple TV
โดยส่วนตัวผมคิดว่า Apple Watch ควรทำออกมาเพียงรุ่นเดียว เพราะปกติตามสไตล์ Apple ตั้งแต่ Mac, iPod, iPhone, iPad จะเริ่มลงตลาดด้วยสินค้าเพียงรุ่นเดียวก่อน พอรุ่งค่อยขยาย แต่สายทำออกมาเยอะๆ ดีแล้ว
ส่วนเรื่องที่ Apple Watch ต้องย้ายไปขายถึงปี 2015 ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกของสินค้าใหม่ Apple เพราะตั้งแต่ iPhone และ iPad นั้น สินค้าเปิดตัวเดือนมกราคมแต่วางขายเดือนมิถุนายนทั้งคู่ เนื่องจากยังไม่พร้อม ฉะนั้นหากช่วงนี้เราเจอข่าว Apple Watch ไม่พร้อมด้านไหนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะว่า Apple ยังต้องปรับปรุงสินค้าก่อนส่งขึ้นสายการผลิตเพื่อวางขายอีก ขนาด iPhone รุ่นแรกที่ Jobs เดโมยังต้องใช้ 1 เครื่องต่อการเดโม 1 ฟีเจอร์ เพราะเครื่องจะแรมเต็มเร็วมาก ทีมงานคนไหนที่ทำฟีเจอร์ไหน พอ Jobs เดโมฟีเจอร์นั้นก็ต้องลุ้นแทบตายว่าจะแฮงค์กลางงานหรือไม่
Apple Watch จะยังคงถูกวางตำแหน่งเป็น Accessories ต่อไปสักพัก จนกว่าจะดังแล้วค่อยแยกวงอีกที เหมือน Apple TV
การผิดคำพูด ศักดิ์ศรี ล้วนไม่สำคัญในโลกธุรกิจ เพราะโลกในปัจจุบันหมุนไปเร็วมาก โดยเฉพาะฝั่งไอทีที่หมุนเร็วเสียยิ่งกว่าวงการอื่น ทำให้การอยู่รอดในธุรกิจนี้ไม่จำเป็นต้องมีของใหม่ แต่ต้องแตกต่างและตอบสนองผู้ใช้ได้ดี สิ่งที่เราจะไม่ทำวันนี้ก็สามารถทำได้เมื่อพร้อม การปล่อยให้คู่แข่งแซงไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเราปล่อยไปแล้วเราต้องก้าวกระโดดข้ามหัวคู่แข่งให้ได้
สรุป เป็นก้าวแรกของ Apple ในการเปิดตลาดใหม่ที่มั่นคงมากในยุค Tim Cook ถึงแม้ Steve Jobs จะไม่อยู่แล้ว (และพวกคิดถึง Jobs ประเภท ถ้า Jobs อยู่จะมี… พวกนี้ช่างมันเหอะ) แต่การเปิดตลาดใหม่ก็น่าจะทำให้ Apple ยังคงอยู่ได้เรื่อยๆ ถ้าไม่ก้าวพลาดซะก่อนนะ
เมพ