สำหรับบล็อกตอนใหม่นี้ ผมจะมารีวิวโรงแรม The Athenee Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมระดับหรูที่เรียกได้ระดับ Luxury ซึ่งเป็นระดับเกือบสูงสุดของเครือ Marriott
เนื่องจากผมได้มีโอกาสไปพักที่นี่ 3 วัน 2 คืน จึงจะนำเรื่องราวการพักผ่อนโรงแรมระดับเป็นหน้าเป็นตาของประเทศมาเล่าให้ฟังแบบคร่าว ๆ กันครับว่า โรงแรมระดับ 5 ดาวในเครือ Marriott แห่งนี้จะมีจุดเด่นอะไรบ้าง

The Athenee Hotel: ตำนานวังคันธวาส ถนนวิทยุ
โรงแรม Athenee หรือชื่อเต็มคือ The Athenee Hotel: A Luxury Collection บางคนอาจจะคุ้นเคยในชื่อ Plaza Athenee เป็นโรงแรมในระดับหรูริมถนนวิทยุ แต่ภายใต้ความหรูก็จะมีสตอรี่ของตัวเอง ดังนั้น เพื่อทำให้อ่านบทความนี้ได้อย่างถึงเนื้อมากยิ่งขึ้น เราก็จะมาทำความรู้จักกับโรงแรมแห่งนี้คร่าว ๆ กัน

ก่อนที่จะตั้ง The Athenee Hotel สถานที่นี้เคยเป็น “วังคันธวาส” ซึ่งเป็นวังของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ซึ่งการร้อยมาลัยเป็นหนึ่งในงานที่พระองค์ทรงโปรด ดังนั้น ธีมการตกแต่งของ The Athenee Hotel รวมถึงโลโก้ก็จะมีแรงบันดาลใจมาจากพวงมาลัยนั่นเอง และยังมีกิจกรรมร้อยพวงมาลัยให้แขกผู้เข้ามาเยือนด้วย (แต่ผมไม่ได้เข้านะ)
หลังจากที่เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ก็ได้พระราชทานวังคันธวาสให้โรงเรียนราชินีบนใช้เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยขน์จากการใช้ที่ดินผืนนี้เพื่อเป็นรายได้บำรุงโรงเรียน
ปัจจุบัน The Athenee Hotel เป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์ The Luxury Collection ของกลุ่มโรงแรม Starwood ซึ่งภายหลัง Marriott ซื้อ Starwood เข้าไป จึงทำให้โรงแรมรวมเข้าไปอยู่ในเครือ Marriott ไปโดยปริยาย โดย The Luxury Collection นับเป็นแบรนด์ในหมวด Luxury เทียบเท่ากับ JW Marriott, The Ritz-Carlton, St. Regis, W Hotels และ EDITION (แม้จะจัดลำดับเท่ากัน แต่ความเห็นผมแล้วมองว่า The Ritz-Carlton กับ St. Regis จะมีระดับที่สูงกว่าอีกเล็กน้อย)

รูปแบบการตกแต่ง
ดังที่อธิบายไปแล้วด้านบน The Athenee Hotel ตกแต่งด้วยการใช้พวงมาลัยเป็นธีมหลักของโรงแรม ดังนั้นเราจะเห็นโรงแรมตกแต่งด้วยพานและดอกไม้อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงลวดลายและโลโก้ของโรงแรม ก็จะมีแรงบันดาลใจมาจากดอกไม้และพวงมาลัย ส่วนโทนสีที่ใช้จะเป็นสีเหลืองนวลที่ให้ความรู้สึกสบายตา
การตกแต่งด้วยวัตถุอย่างเดียวอาจจะไม่พอสำหรับโรงแรมระดับนี้ เพราะ The Athenee มีเสียงและกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วโรงแรม รวมถึงแสงไฟที่ใช้ตกแต่งตามจุดต่าง ๆ ก็คิดมาเป็นอย่างดี เพราะมี ambient light ที่คอยส่องสว่างล้อมรอบเฟอร์นิเจอร์ ดังนั้น ถ้าไม่ไปเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งไว้ ถ่ายรูปยังไงก็สวยแน่นอน และรายละเอียดระดับนี้สามารถพบได้แม้กระทั่งในห้องพักขนาดเล็กที่สุดของโรงแรม
แม้กระทั่งช่วงนี้ที่ห้องอาหารหรือโรงแรมต้องปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยสาธารณสุขด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดไทยชนะ ทางโรงแรมก็ไม่ได้นำกระดาษ A4 พิมพ์คิวอาร์โค้ดมาแปะโต้ง ๆ แต่วางใส่กรอบรูปไว้พร้อมกับคิวอาร์โค้ดที่ถูกจัดวางตำแหน่งเป็นอย่างดี

ถ้าถามว่าจุดไหนถือเป็นจุดไฮไลต์ของโรงแรม The Athenee ก็คงจะเป็นที่ล็อบบี้ของโรงแรม ที่มีบันไดทอดยาวพร้อมโคมไฟระย้าสง่างาม และมีพาน (ที่เหมือนพานไหว้ครูขนาดยักษ์) ตั้งเด่นเป็นสง่า ถือว่าเป็นจุดที่ถ้าใครมาถึงแล้วไม่ถ่ายรูปที่นี่ จะเรียกว่ายังไม่ได้มา Athenee ก็ไม่ผิดนัก

นอกจากนี้ จุดเด่นอีกอย่างของการเป็นโรงแรมหรู คือทางโรงแรมจะตั้งแกรนด์เปียโนที่เป็นแกรนด์เปียโนจริง และที่ชอบที่สุดคือเป็นเปียโนที่ไม่ได้ไว้ตั้งโชว์ แต่มีไว้ให้เล่นจริง เดินเข้าไปเล่นได้ และไม่ได้มีแค่หลังเดียวด้วย

ข้าวของเครื่องใช้ และสิ่งอำนวยความสะดวก
สำหรับ complementary ที่ใช้ในโรงแรม The Athenee จะไม่ได้เป็นของที่พิเศษกว่าโรงแรมอื่นมากนัก (เพราะสิ่งที่โรงแรมทั่วไปเตรียมให้ก็คือพอแล้ว) แต่ความโดดเด่นคือของแทบทุกชิ้นถูกคัดสรรมาค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอาบน้ำยี่ห้อ THANN, แปรงสีฟันที่ขนกำลังดี, กาแฟแคปซูลพร้อมเครื่องชง illy, ชาเป็นซองพร้อมกาต้มน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่หลาย ๆ อย่างอาจจะดูเป็นสิ่งพื้นฐาน แต่จากการคัดสรรก็ทำให้รู้สึกได้ว่า แม้จะเป็นสิ่งพื้นฐาน แต่คุณภาพไม่เหมือนที่อื่น
นอกจากเรื่องสิ่งพื้นฐานแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ที่นี่ก็มีความพิเศษ เช่น แก้วน้ำ ที่มีให้ทั้งแก้วดื่มน้ำธรรมดา, แก้วไวน์, แก้วบรั่นดี และแก้ว On The Rock รวมถึงถังน้ำแข็งอย่างดี และถ้าต้องการน้ำแข็งเป็นถังก็สามารถโทรแจ้งพนักงานให้นำมาส่งที่ห้องได้แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย

ห้องพักที่ผมได้เป็นห้องพักระดับเริ่มต้น Athenee Guest Room อยู่บนชั้น 22 ของอาคาร แน่นอว่าชั้นสูงขนาดนี้มองออกไปก็จะเห็นเป็นวิวเมือง แต่แนะนำว่าไม่ควรคาดหวังวิวเมืองมากเนื่องจากตึกโซนนี้สูง ๆ ทั้งนั้น
ไฟที่ประดับและใช้งานในห้อง ก็ไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่าสวิตซ์ตัวไหนเป็นไฟดวงไหน แต่ The Athenee เขาคิดมาให้แล้ว แค่ไฟ 6 ปุ่มตรงหัวเตียงก็คุมไฟในห้องไว้ได้แทบทั้งหมด สามารถกดเลือกได้ว่าจะใช้โหมดไหน โดย Master คือเปิดไฟส่วนใหญ่, Ambient เปิดไฟประดับ, Work เปิดไฟสำหรับทำงาน, Night เปิดไฟสำหรับกลางคืน (ทำให้ไม่สว่างเกินไป แต่สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำได้) และ Reading คือเปิดไฟส่องลงมาที่เตียงเพื่อให้อ่านหนังสือบนเตียงได้
ส่วนโทรศัพท์ที่เห็นอยู่นี้ เป็นนาฬิกาไปในตัว และถ้ามืดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมองไม่เห็น เพียงเอามือไปโบก ๆ แถวนาฬิกา Motion Sensor ก็จะจับได้และไฟก็จะสว่างให้เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว

ถ้าถามว่าทำไมต้องรู้ว่ากี่โมงแล้ว ก็ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าโครงสร้างหน้าต่างและผ้าม่านของโรงแรมสามารถเก็บแสงได้เกือบหมดจด คือถ้าคุณปิดผ้าม่านสนิทแล้วไม่เปิดออกมา มองไปที่หน้าต่างก็แทบจะมองไม่ออกเลยว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว (แน่นอนว่าเหมาะสำหรับคนชอบนอนตื่นสายมาก ๆ 5555)
ส่วนหมอนนั้น เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมาก ๆ เพราะที่โรงแรม The Athenee นี้มีหมอนให้เลือกถึง 7 แบบ เลือกได้ตามความชอบของแต่ละคน และแน่นอนครับว่าหลับสบายมาก
นอกจากหมอนสำหรับนอนแล้ว โซฟาและเก้าอี้ของโรงแรม The Athenee เกือบทุกตัวไม่ว่าจะเป็นในล็อบบี้หรือห้องอาหารจะวางหมอนเอาไว้ เพื่อให้ใช้พิงหลังจะได้ไม่เมื่อยด้วยครับ

สำหรับโรงแรมแห่งนี้ มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ทั้งการร้อยมาลัย หรือสปา แต่สิ่งที่ผมได้ใช้บริการเป็นหลักในครั้งนี้คือสระว่ายน้ำอย่างเดียว
สระว่ายน้ำของ The Athenee เป็นสระแบบ Lagoon ที่ออกแบบมาเหมาะกับการพักผ่อน มีเก้าอี้ตั้งไว้ที่เมื่อว่ายน้ำเสร็จก็สามารถนอนรับลมเย็น ๆ พร้อมกับบาร์ที่สามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มได้

สิ่งอำนวยความสะดวกที่จะลืมพูดถึงไม่ได้ เห็นจะเป็น Wi-Fi และถ้าคุณกำลังนึกถึง Wi-Fi ที่ต้องขอรหัสผ่านจากพนักงานที่ reception ให้ลืมไปได้เลย เพราะ Wi-Fi ที่ The Athenee กดแล้วต่อได้ทันที ไม่ต้องใส่รหัสผ่าน แถมแรงและใช้งานได้จริงด้วย (เสียดายไม่ได้วัดเก็บไว้)
ยิ่งไปกว่านั้น ทางโรงแรมได้สมัคร subscription ของสำนักข่าวดัง ๆ ระดับภูมิภาคไว้เรียบร้อย เพียงคุณต่อ Wi-Fi และเปิดเว็บไซต์สำนักข่าว ก็สามารถอ่านข่าวได้ฟรี ตัวอย่างที่ผมใช้งานบ่อย ๆ คือ Nikkei Asian Review ก็เปิดอ่านได้โดยไม่ต้องเจอ paywall เลย
ห้องอาหารและคาเฟ่
ในครั้งนี้ ผมได้ใช้บริการห้องอาหารและคาเฟ่หลัก ๆ คือ The Allium Bangkok เพื่อทานอาหารเช้า และ The Bakery ที่เป็นคาเฟ่ด้านหน้าโรงแรม ดังนั้นบทความนี้จึงจะอธิบายสองแห่งนี้เป็นหลัก

สำหรับอาหารเช้าของโรงแรม The Athenee ในวันที่ผมเข้าพักจะเสิร์ฟที่ห้องอาหาร The Allium Bangkok ที่ชั้น 3 ของโรงแรม โดยตอนเช้าเดินลงมาที่ห้องอาหาร พนักงานจะวัดอุณหภูมิและถามเลขห้อง จากนั้นจะพาไปนั่งโต๊ะและถามว่าจะรับชาหรือกาแฟ ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าเอาชาหรือกาแฟแบบไหนด้วย
อาหารเช้าที่ห้องอาหาร The Allium Bangkok จะมีสองแบบ คือสั่ง และเดินไปตัก ซึ่งอาหารแบบสั่งอาจจะแตกต่างกันไปตามวัน ส่วนอาหารตักจะเหมือนเดิมเกือบทุกวัน แต่ค่อนข้างหลากหลาย เช่น ซีเรียลจะมีตัวเลือกท็อปปิ้งให้ใส่เยอะมาก หรือขนมปังก็มีให้เลือกสรรหลากหลายแบบ
ส่วนเครื่องดื่มมีน้ำให้เลือกค่อนข้างเยอะเหมือนกัน สามารถสั่งน้ำผลไม้ปั่นสดได้ ทางโรงแรมจะวางผลไม้ไว้ สามารถชี้ได้ว่าต้องการผลไม้อะไร
อาหารเช้าที่ The Allium Bangkok จะเริ่มต้นตอนเช้า 6.30 และปิดตอน 10.30 ซึ่งก่อนจะปิดราว 20 นาทีพนักงานจะมา reminds ว่าใกล้ถึงเวลาปิดห้องอาหารเช้าแล้ว เพื่อให้ลูกค้าสั่งอาหารรอบสุดท้ายก่อนปิด หลังจากนั้นจะเป็นมื้ออาหารแนวฝรั่งเศส

ส่วน The Bakery เป็นคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของโรงแรม จุดเด่นของที่นี่คือชาที่หลากหลายและราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับคาเฟ่ในย่านเดียวกัน โดยที่อื่นราคาปกติคือ 200 กันแล้ว แต่สำหรับ The Bakery ขายที่ราคาปกติ 120 บาท และคุณภาพก็ถือว่าดีมาก ส่วนกาแฟก็ถือว่าราคาและคุณภาพก็อยู่ในเกรดใกล้เคียงกับ Starbucks
จุดเด่นที่สุดในร้านนี้เห็นจะเป็นเบเกอรี่ครับ เพราะจะมีเบเกอรี่ตั้งวางอยู่ในฝาครอบให้เลือกด้วย และเบเกอรี่มีค่อนข้างหลากหลาย เช่น ครัวซอง, มาการอง, เค้ก และอื่น ๆ แต่เนื่องจากผมเองไม่ได้โปรดเบเกอรี่มากนัก ดังนั้นผมจึงเน้นสั่งชาและกาแฟมานั่งทานขณะทำงานเป็นหลัก เลยอาจจะรีวิวเบเกอรี่ไม่ได้
ข้อเสียของ The Bakery เห็นจะเป็นเรื่องปลั๊กไฟที่อาจจะไม่เหมาะกับคนทำงานสักเท่าไร ดังนั้นคาเฟ่นี้จะเหมาะกับการพักผ่อนและคุยงานเป็นหลัก
นอกจากห้องอาหารและคาเฟ่ 2 ห้องที่ผมใช้บริการเป็นหลัก The Athenee ยังมีห้องอาหารและคาเฟ่อื่นให้บริการด้วย ได้แก่
- The Rain Tree Café ซึ่งมีจุดเด่นที่กุ้งล็อบสเตอร์
- The Silk Road ห้องอาหารจีน
- Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey ห้องอาหารญี่ปุ่นแนว Kaiseki
- The House of Smooth Curry ห้องอาหารไทย
- The View ห้องอาหารเอาท์ดอร์ที่ชั้น 4 ติดกับสระว่ายน้ำของโรงแรม
- The Glaz Bar เป็นบาร์ที่มีอาหารและเครื่องดื่ม เหมาะกับการนั่งพักผ่อน
ห้องอาหารทั้งหมดนี้สามารถนำไปรวมกับค่าห้องพักได้ครับ เพียงแจ้งเลขห้องและเซ็นใบเสร็จเท่านั้น ทางโรงแรมก็จะนำไปคิดรวมกับค่าห้องพักให้ทันทีเพื่อนำไปรวบยอดจ่ายทีเดียวตอนเช็คเอาท์

พนักงาน
สิ่งที่เห็นจะเป็นสิ่งที่โดดเด่นของโรงแรม 5 ดาว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาได้ไม่ใช่แค่วัตถุ แต่ต้องเกิดจากความใส่ใจจริง ๆ และนั่นทำให้ “พนักงาน” เป็นสิ่งสำคัญของโรงแรมแห่งนี้
หลายคนอาจจะเห็นภาพพนักงานโรงแรม 5 ดาว มีหน้าที่แค่ใส่ชุดสูทหรือชุดสุภาพ เปิดประตู ขนกระเป๋า ยืนอยู่ตามจุดต่าง ๆ แต่จริง ๆ แล้วรายละเอียดมันมากกว่านั้นครับ เพราะจริง ๆ พนักงานของโรงแรมสามารถพูดคุยกับเราได้ในระดับพอเหมาะพอควร (ไม่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก แต่ก็ไม่นิ่งประเภทถามคำตอบคำ อยู่ในระดับพอดี ๆ)
ถ้าถามว่าพอเหมาะพอควรเป็นอย่างไร คือเมื่อเราสอบถามข้อมูลต่าง ๆ พนักงานก็จะให้คำตอบเราได้อย่างชัดเจน และที่มากกว่านั้นคือพนักงานสามารถแนะนำให้เราหรือชวนคุยได้อย่างสุภาพในแบบเป็นกันเอง ที่ไม่ได้ดูเหมือนขาย แต่ดูเป็นการเสนอสิ่งดี ๆ ให้กับเรามากกว่า และบางครั้งจะถามถึง feedback ด้วย เช่น อาหารอร่อยไหม, พักผ่อนสบายดีไหม และอื่น ๆ

สรุป
สิ่งที่เห็นได้จากโรงแรม 5 ดาว มักจะเป็นการใส่ใจรายละเอียด เพื่อทำให้สิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป และแน่นอนว่าทั้งหมดทำไปเพื่อเป้าหมายหลักก็คือการ “พักผ่อน” เพื่อให้แขกผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด
แม้ผมเองจะคิดว่าเป็นคนที่อยู่กรุงเทพหรือปริมณฑลและไม่อินกับการมาจ่ายเงินแพง ๆ ทั้งที่กลับไปนอนที่บ้านก็ได้ ตอนนี้ก็ต้องคิดใหม่เล็กน้อยเพราะการมานอนเพียงระยะเวลาสั้น ๆ กับโรงแรมดี ๆ ที่อยู่ไม่ไกลนักก็ช่วยให้ refresh ตัวเองได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน
ข้อมูลบางส่วนจาก The Standard, หนังสือ Hotel Secrets ในห้องพัก