ซีรีส์รีวิวโรงแรมรอบนี้ ผมจะกลับมาที่กรุงเทพอีกครั้ง โดยรอบนี้ผมเลือกมาพักผ่อนที่โรงแรม Mandarin Oriental, Bangkok โรงแรมที่เลื่องชื่ออยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยามาช้านาน

ในการเข้าพักครั้งนี้ผมใช้แพคเกจ Experience the Legend เป็นแพคเกจสำหรับบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยให้มาสัมผัสประสบการณ์โรงแรมอันดับต้น ๆ ของประเทศกัน
โรงแรมโอเรียนเต็ล
Mandarin Oriental Hotel Group หรือ MOHG เป็นอีกหนึ่งเชนโรงแรมที่มีโรงแรมตั้งอยู่หลายแห่งทั่วโลก ซึ่งชื่อ Mandarin Oriental เกิดจากการควบรวมสองกิจการคือโรงแรมแมนดารินของฮ่องกง กับโรงแรมโอเรียนเต็ลกรุงเทพเข้าด้วยกัน และนำชื่อมารวมกันเป็น Mandarin Oriental ซึ่งปัจจุบันใช้สัญลักษณ์ของเครือโรงแรมเป็นรูปพัดอันสง่างาม
ดังนั้น ทั้งโรงแรมที่ฮ่องกงและกรุงเทพจึงถือเป็น flagship ของ Mandarin Oriental
ด้วยประวัติอันยาวนานกว่า 144 ปี โรงแรมโอเรียนเต็ลน่าจะเป็นโรงแรมหรูแห่งแรกของประเทศไทย แม้จะดูเหมือนจะเป็นโรงแรมเก่า แต่จริง ๆ แล้วโรงแรมมีการรีโนเวทใหม่อยู่เรื่อย ๆ ดังนั้นสิ่งที่จะเก่าอาจจะเป็นในเชิงโครงสร้างของอาคารที่ขยับยาก แต่กับสิ่งอำนวยความสะดวกแล้วไม่ได้เก่าตามไปด้วยเลยจริง ๆ หรือต่อให้ดูเก่าก็จะให้อารมณ์คลาสสิคมากกว่า
โรงแรม Mandarin Oriental, Bangkok เพิ่งจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อปัจจุบันได้เพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้น ดังนั้นเราอาจจะยังเห็นสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในโรงแรมยังคงใช้ชื่อ “โอเรียนเต็ล” โดยไม่ได้เปลี่ยนตามชื่อโรงแรมหลายอย่าง

ตัวโรงแรม Mandarin Oriental แบ่งออกเป็น 3 อาคารหลัก คือ
- River Wing อาคารสูงและใหม่ที่สุดของโรงแรม
- Garden Wing อาคารที่อยู่ด้านหลัง Author’s Wing
- Authors’ Wing อาคารรูปแบบคลาสสิค โดยมีมุมเด่นคือ Authors’ Lounge ที่เป็นสถานที่ทาน Afternoon Tea อันเลื่องชื่อ
วิธีเดินทางมายังโรงแรมโอเรียนเต็ลมีหลายรูปแบบ สำหรับคนไม่มีรถแนะนำเป็นเดินทางมายังรถไฟฟ้า BTS สถานีสะพานตากสินแล้วเดินไปทางท่าเรือโรงแรม จากนั้นขึ้นเรือโรงแรมมาโดยแจ้งว่าจะมาเช็คอิน คุณจะได้รับการต้อนรับเป็นน้ำดื่มเย็น ๆ ตั้งแต่ก้าวขึ้นเรือ
เมื่อมาถึงท่าเรือของโรงแรมจะมีพ่อบ้านคอยต้อนรับและวัดอุณหภูมิตั้งแต่ขึ้นมายังฝั่ง จากนั้นจะช่วยยกกระเป๋าและนำทางมาสู่ล็อบบี้
ห้องพัก
เริ่มแรกเราจะทำการเช็คอินที่ล็อบบี้ เมื่อทำการเช็คอินแล้ว จะมีพ่อบ้านพาเราขึ้นไปบนห้องและให้คำแนะนำอยู่เรื่อย ๆ ระหว่างทาง

ห้องที่ผมเข้าพักเป็นห้องที่เรียกว่า Deluxe Premier Room อยู่อาคารหลักชั้น 14 เป็นห้องระดับเริ่มต้นของโรงแรม มาตรการความปลอดภัยของทางโรงแรมคือจะทำความสะอาดห้องและ shield เอาไว้ให้เรา พร้อมแปะสติ๊กเกอร์นี้เอาไว้เพื่อรอต้อนรับ เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าหลังทำความสะอาดและจัดห้องเสร็จแล้วยังไม่มีใครเข้าไปในห้องก่อนที่เราจะมา

พ่อบ้านโรงแรมจะสอนวิธีใช้คีย์การ์ด เมื่อเปิดประตูแล้ว พ่อบ้านก็จะพาเราเดินแนะนำสิ่งต่าง ๆ ภายในห้อง

ห้องที่ผมได้เป็นมุมโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา จะเห็นไอคอนสยามโดดเด่น และติดกับโรงแรมก็คือสถานฑูตฝรั่งเศส

จุดเด่นสำคัญของห้องนี้ คือแม้ว่าจะขนาดไม่ได้ใหญ่มาก แต่ทางโรงแรมออกแบบโดยการหันเฉียงห้องให้ออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาเล็กน้อย และใส่กระจกบานใหญ่ ซึ่งกระจกแบบนี้ทำให้ห้องดูกว้างขวางขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
เรามาสำรวจสิ่งต่าง ๆ ภายในห้องกันก่อน เริ่มจากของต้อนรับที่เรียกได้ว่าเยี่ยมจริง ๆ ตั้งแต่มาการองที่วางไว้ให้สองชิ้น กับผลไม้ต้อนรับเป็นลำไยอีก 1 ชุด วางไว้พร้อมกับการ์ดเขียนด้วยลายมือจากผู้จัดการโรงแรมใส่ในซองจดหมายและแปะด้วยครั่ง (ถ้าเป็นโรงแรมอื่น คุณจะต้องเป็นสมาชิกระดับสูงของเชนโรงแรมนั้น ๆ แต่ถ้าเป็นโอเรียนเต็ล เพียงคุณสมัคร Fans of MO ก็จะได้สิทธิ์นี้แล้วแม้จะเป็นห้องเริ่มต้นก็ตามที)
ส่วนน้ำตะไคร้เป็น Welcome Drink ที่แม่บ้านเคาะประตูนำมาให้ตามหลัง
นอกจากนี้ ช่วง COVID-19 ทางโรงแรมจัดเตรียมหน้ากากอนามัยพร้อมกับแอลกอฮอล์สำหรับเช็ดทำความสะอาดมาให้เป็นพิเศษ
เรียกได้ว่า First Impression ก็ประทับใจแล้วครับ

เรามาเริ่มสำรวจสิ่งแรกจากมุมกาแฟที่อยู่ตรงกระจกกันก่อน เครื่องชงกาแฟที่นี่ใช้ของ Nespresso เป็นแคปซูลเฉพาะ ส่วนชาให้เป็น TWG มีแก้วให้ทุกรูปแบบ น้ำแข็งที่เติมรอไว้แล้ว
มีตู้เย็นเป็นลิ้นชักที่เปิดออกมาก็เป็นตู้เย็น (ใช่ครับ ลิ้นชักนี่แหละตู้เย็น) พร้อมกับมินิบาร์ที่ให้มาเต็มที่
สิ่งที่เป็น complimentary สามารถขอได้เมื่อหมดมีกาแฟ, ชา, น้ำแข็ง, น้ำดื่ม และนมตราหมี
โซฟาที่นี่เป็นโซฟาแบบยาว ส่วนทีวีเป็นทีวีเป็นแบบเชื่อมต่อกับระบบความบันเทิงของ Mandarin Oriental เอง มีหนังมีเพลงเหมือนเครื่องบิน

มาสำรวจห้องน้ำกันต่อ ขนาดของห้องน้ำถือว่ากำลังดี มีอ่างอาบน้ำ, ฝักบัว และมีลำโพงในห้องน้ำไว้สำหรับฟังเสียงจากทีวีในขณะอาบน้ำ
ชักโครกเป็นชักโครกญี่ปุ่นยี่ห้อ TOTO แบบอัตโนมัติ 100% ใช้ระบบรีโมท ออโต้ทุกอย่างตั้งแต่เดินเข้าไปแล้วฝาชักโครกเปิดเอง กดปุ่มยกฝารองนั่งขึ้นได้ ใช้เสร็จแล้วเดินออกจากห้องน้ำไปสักพักจะปิดเอง
Amenties มีมาให้ครบ เป็นขวดของ Mandarin Oriental เอง และที่สำคัญคือทางโรงแรมให้เกลือสำหรับอาบน้ำมาด้วยครับ กลิ่นหอมมาก

ระบบไฟที่ห้องเป็นแบบอัตโนมัติ 100% เพียงกดปุ่มไฟก็จะเปลี่ยนไปตามต้องการ มีปุ่มให้กดดับทั้งห้อง หรือจะเลือกเป็นซีนที่จะสว่างเพียงบางดวงก็ได้ มีไฟ Night Light ให้เดินกลางคืนแบบสบาย ๆ และไม่ได้เป็นการเปลี่ยนซีนแบบเปิดหรือปิดทันที แต่จะค่อย ๆ สว่างหรือค่อย ๆ หรี่จนดับเอง
แอร์ก็เป็นระบบอัตโนมัติเช่นกัน กดปุ่มปรับอุณหภูมิได้ ห้องนี้เป็นห้องที่เสียงแอร์เบามาก (ยอมรับว่าเบาจริง ๆ ตั้งแต่เข้ามาไม่ได้ยินเสียงแอร์เลยจนต้องใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนถอดออกมาแล้วตั้งใจฟังถึงได้ยินเสียงแอร์)
ผ้าม่านเป็นแบบสองชั้น พร้อมกับรางผ้าม่านแบบซ่อนไว้ที่ปิดแล้วห้องจะมืดแม้ข้างนอกจะสว่างอยู่ก็ตามที ตามสไตล์โรงแรม 5 ดาว

ส่วนปลั๊กไฟก็ทั้งเต้าเสียบธรรมดาและ USB, นาฬิกาหัวเตียงที่ยกขึ้นแล้วไฟจะสว่าง, แท่นชาร์จไร้สาย, ลำโพง Bose ที่สามารถต่อ Bluetooth เปิดเพลงได้ และยกไปวางที่ไหนก็ได้
คืนที่สอง เนื่องจากวันพรุ่งนี้ทางโรงแรมจะทำการซ่อมบำรุงเร่งด่วนในบางจุดของอาคารตอนเช้า ทางโรงแรมจึงย้ายห้องมาที่อาคาร Garden Wing แทน ซึ่งห้องในคืนที่สองนี้เรียกว่า “ห้องเจ้าพระยา”
Garden Wing เป็นรูปแบบตึกที่ยังคงความคลาสสิค ทางเดินตรงกลางที่ต้องเดินขึ้นหรือลงอีกเล็กน้อยเพื่อเข้าห้อง สิ่งเหล่านี้หาค่อนข้างยากแล้วกับโรงแรมในยุคปัจจุบัน

มาสำรวจห้องเจ้าพระยากันเล็กน้อย ห้องเจ้าพระยาจะมีขนาดเล็กกว่า Deluxe Premier เล็กน้อย แต่กลิ่นอายความคลาสสิคยังคงโดดเด่นและสวยงาม เปิดเข้ามาแล้วจะพบกับมุมนั่งพักผ่อนเป็นโซฟาและเก้าอี้สองตัว มีแชนเดอเลียประดับอยู่ มุมด้านหลังเก้าอี้สองตัวจะเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นโรงแรมตรงข้ามคือ The Peninsula โดดเด่นเป็นสง่า

ด้านล่างจะมีทีวี ส่วนห้องนี้ไม่มีลำโพงบลูทูธ Bose ที่ย้ายไปมาได้ แต่จะมี Sound Bar ของ Harman Kardon ที่เชื่อมต่อบลูทูธได้มาแทน
เดินเข้าไปข้างใน มีห้องเล็ก ๆ เป็นตู้เย็นและเตรียมชากาแฟ โดยตู้เย็นเป็นแบบฝังในตู้ เปิดประตูนี้แหละออกมาก็เป็นตู้เย็นเลย และตู้เย็นขนาดใหญ่กว่าห้อง Deluxe Premier มาก มีช่องแช่แข็งขนาดใหญ่ให้ด้วย
อุปกรณ์ข้างในก็ยังมีครบเหมือนห้อง Deluxe Premier แต่เครื่องชงกาแฟเปลี่ยนจาก Nespresso เป็น illy และมีบางอย่างเพิ่มเข้ามาเล็กน้อย เช่น แก้วเชค เป็นต้น
ขึ้นบันไดด้านบนจะเป็นเตียงนอน หัวเตียงมีที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สายพร้อมนาฬิกา ปลายเตียงมีทีวี ข้างเตียงนอนจะมี closet โดยตรงกลางจะเป็นที่วางกระเป๋าพร้อมกับหน้าต่างที่มองออกไปจะเห็นวิวเมืองทางฝั่งเจริญกรุง ส่วนข้างอีกฝั่งก็ตื่นมาพร้อมกับเห็นกระจกบานใหญ่วิวแม่น้ำเจ้าพระยา
ห้องน้ำจะอยู่ปลายเตียง ห้องเจ้าพระยานี้ไม่มีอ่างอาบน้ำนะครับ รวมถึงไม่มีสุขภัณฑ์ TOTO ที่เป็นระบบอัตโนมัติด้วย แต่เป็นยี่ห้อ Villeroy & Boch พร้อมสายฉีดชำระ (เย้!)

แม้จะเป็นตึกเก่า แต่ระบบไฟในห้องทั้งหมดก็ยังคงเป็นอัตโนมัติ 100% รวมถึงม่านของห้องเจ้าพระยาก็ควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติด้วย

เนื่องจากห้องเจ้าพระยาอยู่ที่ Garden Wing ซึ่งอยู่ด้านหลัง Author’s Wing ดังนั้นถ้าเราจะเดินไปใช้ facility ของโรงแรมอย่างเช่นสระว่ายน้ำหรือห้องอาหารบางห้องในตอนเช้าหรือตอนเย็นแบบไม่อยากผ่านคนเยอะ ๆ เดินลัดทางนี้ก็จะดี (เพราะล็อบบี้มักจะคนเยอะ) และได้มุม Author’s Lounge ในรูปแบบที่ไม่มีคนด้วย

ทุกวันตอนเช้าจะมีหนังสือพิมพ์ Bangkok Post มาส่งที่หน้าห้องด้วยนะ
อาหารเช้า
ตอนนี้อาหารเช้าของโรงแรมจะจัดเป็นบุฟเฟ่ต์เฉพาะวันอาทิตย์ แต่เนื่องจากผมไม่ได้เข้าพักวันอาทิตย์ ดังนั้นจึงได้เป็น A La Carte แบบสั่งไม่อั้นแทน เมนูในห้องอาหารก็มีค่อนข้างหลากหลาย ให้บริการจนถึง 11 โมง โดยเมื่อเดินมานั่งพนักงานก็จะสอบถามว่าจะรับชาหรือกาแฟ และหยิบเมนูมาให้บริการ
สำหรับบทความนี้จะแนะนำสิ่งที่ไม่ควรพลาดในมื้อเช้าของที่โรงแรมโอเรียนเต็ลกัน

และสุดท้ายคือสิ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงของห้องอาหารแห่งนี้ น้ำมะพร้าวครับ ไว้ถ่ายลงไอจีก็ได้ ไว้ดื่มก็อร่อยดี

Lord Jim’s
Lord Jim’s เรียกได้ว่าเป็นห้องอาหารเลื่องชื่ออีกแห่งหนึ่งของโรงแรม ถ้าใครรู้จักโรงแรมแห่งนี้ที่ที่น่าจะได้มาใช้บริการบ่อยสุดอย่างหนึ่งน่าจะเป็นห้องอาหารนี้เอง เนื่องจากเป็นห้องอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพและการบริการที่โดดเด่น
เนื่องจากรีวิว Lord Jim’s สามารถเขียนเป็นบทความแยกได้ ดังนั้นผมจะย้าย Lord Jim’s ไปเขียนเป็นอีกบทความหนึ่งแทนครับ

The Oriental Spa
แพคเกจ Experience the Legend นี้มีรวมสปาด้วย ดังนั้นผมจะมารีวิวสปาให้ฟังสั้น ๆ กัน
สปาของโรงแรม จะใช้ชื่อว่า The Oriental Spa ซึ่งจะต้องนั่งเรือจากท่าเรือของโรงแรมไปยังฝั่งตรงข้าม (ซึ่งก็ยังคงเป็นพื้นที่ของโรงแรมอยู่) โดยปกติแล้วแนะนำให้จองสปาก่อนจะเข้าไปใช้บริการเนื่องจากสปาของที่นี่มีคนใช้บริการค่อนข้างมาก และเต็มไว

ผมเลือกแพคเกจสปาเป็นนวดอโรม่า เริ่มต้นทางสปาจะเสิร์ฟน้ำกระเจี๊ยบเป็นน้ำดื่มเย็น ๆ จากนั้นให้ทำแบบสอบถามเล็กน้อยและเปลี่ยนชุดและเริ่มนวด

เมื่อนวดเสร็จแล้วทางสปาจะนำข้าวพองพร้อมกับน้ำขิงมาให้ดื่มหลังจากทำสปาเสร็จ
สรุปสั้น ๆ คือบรรยากาศของสปาค่อนข้างผ่อนคลายมาก และแนะนำว่าให้มาลองสักครั้ง

ใส่ใจทุกรายละเอียด
สำหรับโรงแรมโอเรียนเต็ล ผมอาจจะขอยกข้อนี้ออกมาเป็นอีกหัวข้อหนึ่งเลย เพราะเมื่อคุณเดินไปตามเส้นทางต่าง ๆ ของโรงแรมแห่งนี้ คุณอาจจะไม่รู้สึกอะไรขัดหูขัดตาเลย (อาจจะมีบ้างในบางส่วนที่เป็นตึกเก่าและแก้ไขยาก) ใช่ครับ เขาออกแบบมาไว้หมดแล้ว รวมถึงพนักงานที่นี่ก็ถูกเทรนมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่ First Impression ไปจนถึงวันสุดท้ายตอนก้าวออกจากโรงแรมนับได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก
นอกจากเรื่องการใส่ใจแล้ว โรงแรมแห่งนี้ยังมีประวัติที่น่าสนใจและน่าค้นหาซ่อนอยู่ทั่วไปหมด ถ้าเป็นคนช่างสังเกตสักเล็กน้อยแนะนำให้ลองดูรอบ ๆ แล้วคุณจะเห็นว่าโรงแรมนี้น่าค้นหามากกว่าที่คุณคิด
ล็อบบี้ของโรงแรมที่ออกแบบไว้เป็นอย่างดี มีการจัดดอกไม้ไว้พร้อมกับวัสดุตกแต่งและกลิ่นที่น่าดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นแสงธรรมชาติหรือแสงจากหลอดไฟ ที่ล็อบบี้แห่งนี้ก็ดูดีได้ทุกเวลา
สัญลักษณ์หน้า Author’s Wing ที่บ่งบอกว่า นี่เป็นโรงแรมแห่งแรกในไทยที่มีไฟฟ้าใช้ โดยใน Authors’ Wing มีการแปะรูปของศิลปินเรียงรายตามผนัง ราวกับเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม
ช่วงนี้เป็นช่วงป้องกัน COVID-19 ทางโรงแรมใช้วิธีปักคำแนะนำให้เว้นระยะห่างเข้ากับหมอนไปเลย และมีเจลล้างมือใส่ขวดสวยงามวางไว้ตามจุดต่าง ๆ ของโรงแรม

ข้อความส่งให้นอนหลับสบาย วางไว้ในช่วง turn down ห้องเป็นโหมดนอน (ซึ่งบางครั้งอาจเป็นบทจากนักเขียน แต่ละวันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ)

ช่วงเย็นของทุกวันประมาณ 6 โมงถึง 2 ทุ่ม (แล้วแต่วัน) จะมีดนตรีคลาสสิคมาบรรเลงที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี

สรุป
ถ้าให้คำนิยามของที่ Mandarin Oriental, Bangkok ก็คงจะบอกได้ว่า รูปถ่ายอธิบายได้เพียงมิติเดียวเท่านั้น แต่สำหรับมิติของโรงแรมแห่งนี้มีเรื่องการบริการและบรรยากาศ รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนด้วยรูปถ่ายเพียงอย่างเดียว

Experience The Legend ที่จะพาคุณมาสัมผัสกับตำนาน จะเรียกว่าตำนานก็คงไม่เกินจริงนัก เพราะโรงแรมแห่งนี้คือโรงแรมอันเป็นที่สุดหรือเป็นสิ่งแรกของโรงแรมในกรุงเทพในหลาย ๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่อายุ, ห้องอาหาร, บาร์, สิ่งอำนวยความสะดวก และอื่น ๆ รวมถึงการบริการที่ยอมรับได้ถึงความเป็นเลิศจริง ๆ แม้จะเป็นการเข้าพักในห้องเริ่มต้นก็ตามที
ถ้าให้บอกว่าประทับใจแค่ไหน ผมก็คงจะตอบได้ว่าหลังจาก staycation ในกรุงเทพมาสักระยะแล้ว ที่นี่เป็นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกว่าอยากกลับมาอีกครั้ง…
